กำลังเป็นที่ถกเถียงกันในตอนนี้ สำหรับ โนโรไวรัส ที่ทำเอาหลายๆ คนมีความกังวลใจ โดย อ.เจษฎ์ ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า
“เรื่อง “โนโรไวรัส ระบาดในไทยเนี่ย” มันเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ต้องพาดหัวว่า “ถึงไทยแล้ว” ให้แตกตื่นกันหรอกนะครับ ! โรคนี้มันระบาดในไทยทุกปีอยู่แล้ว มีข่าวเด็กๆ ท้องร่วงเพราะโนโรไวรัสทุกปี … ไม่ใช่โรคใหม่ จากต่างประเทศ แต่อย่างไรครับ ! อ่านรายละเอียดข่าวด้านล่างครับ
(ข่าว) 16 ธ.ค.67) มีการเปิดเผยว่าประเทศไทย พบผู้ติดเชื้อ “โนโรไวรัส” จำนวน 1,436 คน โดยเป็นกลุ่มโรงเรียนในพื้นที่อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ซึ่งคาดว่าติดมาจากสารปนเปื้อนที่มาจากน้ำแข็ง
โดย นายแพทย์ธิติ แสวงธรรม รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า กรณีการระบาดของโรคอุจจาระร่วงของนักเรียน และครูบุคลากร 2 โรงเรียน ในอำเภอแกลง จังหวัดระยอง พบผู้ป่วยรวม 1,436 ราย เป็นนักเรียน 1,418 ราย ครูและบุคลากร 18 ราย
ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อโนโรไวรัสที่ปนเปื้อนมากับ “น้ำและน้ำแข็ง” ในช่วงสัปดาห์ที่โรงเรียนมีการจัดกิจกรรมกีฬาสี โดยโนโรไวรัส (Norovirus) มักจะแพร่ระบาดในกลุ่มเด็กที่มีภูมิต้านทานน้อยกว่าผู้ใหญ่ ทำให้เด็กติดเชื้อได้ง่าย
โนโรไวรัสเป็นโรคติดต่อจากคนสู่คน สามารถติดต่อได้ง่าย ทั้งการสัมผัสทางอากาศ อาหาร น้ำดื่ม การสัมผัส และการหายใจ เช่น การสัมผัสผู้ป่วยที่ติดเชื้อโนโรไวรัสโดยตรง
โดย “โนโรไวรัส” มีระยะฟักตัว 12-48 ชั่วโมงหลังการรับเชื้อ ซึ่งอาการที่ผู้ป่วยพบส่วนใหญ่ มักมีอาการคลื่นไส้อาเจียนรุนแรง ปวดท้อง ท้องเสีย มีไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ และปวดเมื่อยตามร่างกาย บางรายอาจทำให้มีอาการขาดน้ำ จึงควรดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อทดแทนการเสียน้ำและเกลือแร่
#มาตรการในการป้องกันตนเองจากโนโรไวรัส
– ล้างมือด้วยน้ำสะอาดและสบู่ก่อนและหลังทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
– รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ใช้ช้อนกลาง
– ล้างผักและผลไม้ให้สะอาด
– หลีกเลี่ยงดื่มน้ำที่ไม่สะอาด และหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำที่ไม่สะอาด”
ขอบคุณข้อมูล: Jessada Denduangboripant